เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๑ ม.ค. ๒๕๕o

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๑ มกราคม ๒๕๕๐
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

งานทางโลก เห็นไหม เราเกิดมาทุกคนปรารถนาความสุข ทุกคนปรารถนาความสุข แต่สุขของใครล่ะ สุขของเด็กก็ได้ โทษนะ สุขของสัตว์เดรัจฉาน สุขของมนุษย์ สุขของเทวดา สุขของใคร? สุขของเทวดาๆ มีจริงเหรอ? เทวดามีจริงไม่มี ถามว่าชีวิตเรามีหรือเปล่า ถ้าชีวิตเรามีนะ จิตนี้มันไม่เคยตาย ทำคุณงามความดีมันไปเกิดสถานะ มันต้องเป็นไปข้างหน้า พรุ่งนี้ยังมีอยู่นะ โลกนี้เป็นอจินไตย มันจะหมุนไปอย่างนี้

โลกนี้เป็นอจินไตย เราจะต้องเกิดตายเกิดตาย ถ้ายังมีเหตุมีปัจจัยอยู่ เพราะอะไร เพราะดูสิ ถ้าฝนตกแล้วนะ ถ้าตกแล้วจบมันก็ต้องจบสิ ฝนตกแล้ว พายุเกิดแล้ว ทำไมมันเกิดแล้วเกิดเล่าล่ะ มันมีเหตุมีปัจจัยของมัน พายุมันจะเกิดของมันไปเรื่อยๆ เพราะมันมีความร้อน มีอากาศ มีการถ่ายเท มันจะหมุนไป

จิตก็เหมือนกัน มีเหตุมีผลอยู่มันต้องหมุนไป เห็นไหม โลกเขาอาบเหงื่อต่างน้ำกัน เขาทำงานกัน เห็นไหม อาบเหงื่อต่างน้ำนะ ปากกัดตีนถีบมาเพื่อหาการดำรงชีวิต เห็นไหม แล้วเวลาบวชมาแล้ว เวลาบวชมาเป็นนักปฏิบัติ บวชเสร็จแล้วนี่จะมีความสุขไปเลยจริงเหรอ? บวชมาแล้วมันก็เหมือนมนุษย์คนหนึ่ง เห็นไหม ไปได้เพศอันหนึ่ง เพศจากพระมา เพศจากพระมาก็ต้องไปทำงานของพระ ทำงานของพระ งานของพระคืออะไร?

เห็นไหม นกมีรวงรัง เราสร้างวัดสร้างอารามกันนี่ที่อยู่อาศัยของพระ แต่งานของพระในทางจงกรมต่างหากล่ะ ในงานของพระนั่งสมาธิภาวนา นี่งานของพระ โลกงานของเขาอาบเหงื่อต่างน้ำเพื่อเลี้ยงชีวิตของเขา งานของพระต้องพยายามชำระกิเลส ชำระสิ่งที่ว่าเป็นเหตุเป็นผล เป็นเหตุที่จะให้เกิด เห็นไหม ให้เกิดพายุ ให้เกิดสิ่งต่างๆ เกิดพายุนะ เวลาเกิดลมกระทบขึ้นมานะ เวลาความโกรธขึ้นมา เวลาความหลงขึ้นมานี่มันไปสุดๆ ของมันเลย แล้วยับยั้งมันไม่ได้ไง เวลาประพฤติปฏิบัติ เห็นไหม

เวลาประพฤติปฏิบัติกัน เราว่าประพฤติปฏิบัติเพื่อจะเข้าไปหาความสุขคือวิมุตติสุข วิมุตติสุขทุกคนจะถามนะ สุขนี้มันไม่ใช่สุขเวทนา สุขเวทนา เห็นไหม เราได้ดื่มกินลิ้มรสนี่ มันมีความสุขมาก นี่เป็นอามิส แล้วมันไม่มีการกระทบมันมีความสุขได้ยังไงล่ะ? มโนมิงปิ นิพฺพินฺทติ เห็นไหม ในอาทิตตฯ มโนมิงปิ นิพฺพินฺทติ มโนคือตัวความรู้สึก นิพพินทะติคือน่าเบื่อหน่าย มโนสัมผัส สิ่งที่น่าสัมผัสก็น่าเบื่อหน่าย ผลจากความสัมผัสก็น่าเบื่อหน่าย แต่เวลามันเป็นอามิสมันมีความสุข เบื่อหน่ายอะไร มันมีรสชาติ มันมีความสุขของมัน มีความพอใจของมัน สิ่งที่น่าเบื่อหน่ายเราต้องรู้จักว่ามันน่าเบื่อหน่ายยังไง

เบื่อหน่ายสิ ดูอย่างร่างกายเรานี่ ทำไมเราต้องชำระล้างมัน เราต้องทำความทำสะอาดตลอดเวลา เห็นไหม เพราะอะไร เพราะมันขับเหงื่อขับไคลออกมาตลอดเวลา นี่มโนมิงปิ นิพฺพินฺทติ ก็เหมือนกัน ตัวน่ะมันมีตัวใจอยู่ มันมีตัวอุปาทานอยู่ในตัวของมันเอง มันยึดมั่นอยู่ในตัวของมันเอง เห็นไหม บอกว่า ว่างๆๆ แล้วว่างๆๆ ใครบอกว่าว่างล่ะ? ว่างนี่ ตัวว่างๆ นี่ ว่างปั๊บเดี๋ยวมันก็เกิดความคิดอีก มันจะว่างได้อย่างไร เราพูดว่าว่าง เราไปกดว่าว่าง มันจะเป็นความว่างได้ที่ไหน มันเป็นความว่างไม่ได้เพราะอะไร เพราะมันไม่ใช่สัจจะความจริง

ในเมื่อวันมีเหตุอยู่มันจะว่างได้อย่างไร มันมีอวิชชาอยู่ มันมีความไม่รู้อยู่ มันจะว่างได้ยังไง เห็นไหม ว่างๆ อย่างนี้ การปฏิบัติกันก็ว่าว่างๆ กันไปเรื่อยๆ นี่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าว่างก็ว่างกันไป ว่างอย่างนี้มันว่างแบบซื่อบื้อ ว่างแบบอยู่ในโรงพยาบาลนั่นน่ะ มันก็ว่างกันทั้งนั้น สิ่งความว่างอย่างนั้นใช้ไม่ได้

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกต้องทำก่อนไง เห็นไหม ดูสิ ทางโลกเขายังอาบเหงื่อต่างน้ำขึ้นมาเพื่อหาผลประโยชน์ของเขา เราประพฤติปฏิบัติ บวชเข้ามาแล้วนี่ปฏิบัติแล้ว มาถึงแล้วก็ปล่อยให้มันว่าง ให้เป็นสิ่งที่ไม่มีคุณค่าอะไรเลยเหรอ มันต้องปฏิบัติให้เข้าไปรู้สัจจะความจริง เห็นไหม อาบเหงื่อต่างน้ำเขาทำงานของเขา เขายังบริหารจัดการของเขา แล้วเวลาเราประพฤติปฏิบัติเพื่อจะสุขเวทนา ทุกขเวทนา เห็นไหม

ทุกขเวทนา แม้แต่เวลาหิวกระหายน้ำมันก็ทุกข์แล้ว แล้วเวลาจิตมันขัดเคืองใจมันไม่ทุกข์เหรอ แต่เราไปบอกมันไม่ทุกข์ ไม่ทุกข์เพราะอะไร เพราะกิเลสมันแอบอ้าง กิเลสมันบังเงาไง บังในใจของเรานี่ เราพอใจ เราได้สถานะใหม่ขึ้นมา มันก็มีความสุขของมัน ความสุข ความสุขอะไร ความสุขเพราะว่าเราไม่ต้องปากกัดตีนถีบหาอาหารมาใส่ปาก แต่หัวใจมันดิ้นรน ยิ่งกินอิ่มนอนอุ่น กิเลสมันยิ่งตัวใหญ่นะ มันจะตัวใหญ่ มันจะขี่หัวเรานะ ถ้าเราประพฤติปฏิบัติ งานของโลกคือสัจธรรมความจริง ความสงบของใจ ถ้าใจมันสงบเข้ามา เห็นไหม เวลาประพฤติปฏิบัตินั้น ถ้าปฏิบัติโลกๆ ปฏิบัติแบบว่าเอากิเลสมาตัดสินธรรม เห็นไหม

เวลาว่า เวลาบวชแล้วไม่กล้านั่งสมาธินะ ถ้านั่งสมาธิไปแล้วเดี๋ยวจิตสงบแล้วจะเห็นผี กลัวผีนะ ไม่อยากเห็นอสุภะ

...เห็นอสุภะนี่ อสุภะนี่มันไม่ใช่ผี เวลาเราตายไปนี่ เพราะเราใช้กิเลสมาตัดสิน เห็นไหม เวลาเราตายไป จิตเราออกจากร่างนี้ไปนี่ ร่างกายเป็นอสุภะนี่มันกองอยู่ไว้ เห็นไหม เราเองนี่ ร่างกายนี้เป็นของเรา เราเป็นเจ้าของร่างกาย เราเป็นเจ้าของตัวเราเองนี่ เราไม่ได้ประโยชน์จากร่างกายของเราเองเลย พอเราตายไปแล้วนิมนต์พระมาบังสุกุล นี่อะนิจจา วะตะ สังขารา เห็นไหม

อะนิจจา วะตะ สังขารานี่ พระมาพิจารณาซากศพ พิจารณาอสุภะ ถ้าพิจารณาอสุภะได้นี่ พระนี่ สมัยพุทธกาลเหตุจะเกิดขึ้นมาได้นี่ เพราะพระไปบิณฑบาตไปเจอผู้หญิงสวยมาก แล้วมันติดใจ ติดใจมากเลยจนกินอาหารไม่ได้ เห็นไหม กินอาหารไม่ได้ เก็บไว้จนบาตรนี่สนิมขึ้นเลย พอดีผู้หญิงคนนั้นตาย พอผู้หญิงคนนั้นตาย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารู้ บอกว่าอย่าพึ่งให้เผานะ ให้เก็บไว้ก่อน ไปถึงป่าช้าก็ทิ้งไว้ไง ๗ วัน ๘ วัน แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะไปดู แล้วก็นิมนต์พระองค์นี้ไปดู พิจารณาซากศพขึ้นมานี่เป็นพระอรหันต์ขึ้นมา เหตุในพระไตรปิฎกเพราะพระนี่ไปพิจารณาอสุภะ พิจารณาซากศพแล้วกลายเป็นพระอรหันต์ขึ้นมา ก็เลยเป็นประเพณีชาวพุทธเราไปชักผ้าๆ ไง

ชักผ้ากันอยู่นี่มันมีเหตุมีผล นี่ไปชักผ้ากันอยู่นี่ ร่างกายของเราแท้ๆ เลย สมบัติของเราแท้ๆ เลย เราไม่ได้ประโยชน์ เห็นไหม เราตายไปแล้ว ซากศพเรานี่ให้พระมาพิจารณา ให้พระได้อสุภะ ให้ได้ประโยชน์ของพระ ให้พระสลดใจ แล้วร่างกายของเราแท้ๆ ทำไมเราไม่ได้ประโยชน์ล่ะ ควรจะได้ประโยชน์กับเราสิ ของของเรา เราไม่ได้ใช้ประโยชน์จากมัน เราใช้ประโยชน์ดำรงชีวิตนี่ เห็นไหม

นี่ขับถ่ายเป็นขี้ข้ามันนี่ หาอยู่หากินอยู่นี่ นี่เพราะเราไม่มีปัญญาไง แล้วเราจะทำความสงบมันก็กลัวผี ผีมันคือจิตวิญญาณนะ จิตวิญญาณนี่เรามีความรู้สึกไหม ผีตัวแรกคือตัวอวิชชาในหัวใจเรา น่ากลัวมาก มันวิตกวิจารขึ้นมา มันคิดผิดคิดถูกในหัวใจนี่ ไอ้ผีตัวนี้ ไอ้ผีในหัวใจเรานี่มันน่ากลัวที่สุดเลย ไม่กลัว ไปกลัวผีข้างนอก ไปกลัวผีข้างนอก ไปกลัวผีที่ไหน ไปกลัวผีหมดเลย ไอ้ผีตัวนี้ไม่เคยกลัวเลย แล้วเวลาทำคุณประโยชน์ขึ้นมานะ ทำประโยชน์ขึ้นมาเพื่อจิตให้สงบขึ้นมา เพื่อเห็นอสุภะ ไม่กล้าทำอีก กลัวผี!

ผีคือจิตวิญญาณ เห็นไหม ดูในพระไตรปิฎกนะ เคยสร้างบุญญาธิการมาด้วยกัน ระหว่างผู้หญิงกับผู้ชาย แล้วผู้หญิงก็ไปเกิดเป็นเทวดา ผู้ชายมาบวชเป็นพระ เห็นไหม อยู่ในพระไตรปิฎก นี่เข้าป่า เพราะพระในสมัยพุทธกาล พระคือพระแท้ๆ คือพระปฏิบัติ เข้าไปอยู่ในป่าในเขา เห็นไหม แล้วคู่ครองก็มาเป็นเทวดา มาปกป้องอยู่นะ มาอยู่บนยอดเขานะ คอยดูแลรักษาไม่ให้พวกสัตว์ร้ายเข้ามา เห็นไหม

นี่ความเป็นไปของวัฏฏะของจิตวิญญาณมันมี จิตวิญญาณนี่ ดูนะ พระนาคิตะเป็นผู้อุปัฏฐากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก่อนพระอานนท์ สมัยก่อนตั้งพระอานนท์ขึ้นมา ยังไม่มีใครเป็นผู้อุปัฏฐากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระจะหมุนเวียนกันอุปัฏฐาก พระนาคิตะนี่เป็นผู้อุปัฏฐากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วเดินจงกรมอยู่ เห็นไหม เดินจงกรมอยู่นี่ พอดีเขามีงานนักขัตฤกษ์ เขาไปเที่ยวสนุกสนานมาก พระนาคิตะนี่เดินจงกรมอยู่นะ เสียใจ.. “ชาวบ้านชาวช่องเขามีความสุขมาก เขามีความรื่นเริง ไอ้เรามันคนขี้ทุกข์ขี้ยาก มาอยู่ในป่าในเขาแสนทุกข์แสนยาก ยังต้องมาเดินจงกรมอีก เรานี่เป็นคนไม่มีคุณค่า”

เทวดามายับยั้งกลางอากาศเลย ยับยั้งอยู่กลางอากาศเลย “ท่านต่างหากเป็นคนมีคุณค่า ไอ้คนที่เขาไปเที่ยวสนุกเพลิดเพลินอยู่นี่ มันเป็นเหยื่อของวัฏฏะ มันเป็นเหยื่อของโลก มันเป็นเหยื่อของกิเลส กิเลสจะพาเขาวนเวียนไปในวัฏฏะ เกิดตายๆ ไม่มีที่สิ้นสุด ท่านต่างหากที่เดินจงกรมอยู่นี่ ท่านต่างหากเป็นคนที่มีคุณค่า ท่านต่างหากล่ะที่จะออกจากโลก”

พอเทวดามาเตือนปั๊บ ความคิดที่คิดน้อยใจ คิดว่าเขามีความสุข เรามีความทุกข์นี่มันพลิกกลับเลย เพราะมันมีคนมาเตือนสติ พอเตือนสติมันก็ย้อนกลับมา เห็นไหม

นี่ย้อนกลับมาก็พิจารณาอะไร ก็พิจารณากาย เวทนา จิต ธรรม เห็นไหม กาย เวทนา จิต ธรรมของเรา อยู่กับเรานี่ เราไม่ได้ประโยชน์ เห็นไหม เพราะคิดแบบโลกไง คิดแบบโลก คิดแบบผู้ที่เข้ามาประพฤติปฏิบัติ คิดแบบโลกมันก็ได้โลกๆ ไง ถ้าเห็นอสุภะมันจะเห็นผี ไม่ใช่ เห็นอสุภะเห็นธรรม แล้วไม่ใช่ธรรมธรรมดาด้วย เพราะอะไร เพราะมันวิปัสสนาธรรม สติปัฏฐาน ๔ น่ะมันเห็นธรรม ถ้าเห็นธรรมนี่ใครเป็นคนเห็น? จิตเป็นคนเห็นไง จิตของเราเป็นคนเห็น จิตของเรามันอยู่ในหัวใจของเราใช่ไหม มันสงบขึ้นมานี่จิตเป็นผู้เห็น

ถ้าจิตมันไม่เคยเห็นน่ะ จิตเห็นอะไร? จิตมันเห็นอะไร? เห็นอารมณ์น่ะสิ จิตเห็นอารมณ์ไม่มีความรู้สึกมันจะเป็นประโยชน์อะไรขึ้นมา จิตมันสร้างภาพ นี่ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง เราศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราก็ตีความกันไป เห็นไหม

บอกว่า “เห็นอสุภะขึ้นมา คือจิตสงบขึ้นมาแล้วจะเห็นผี”

ไม่ใช่ผี เพราะคนที่จิตมันสงบ พอจิตเราสงบใช่ไหม เหมือนเราเป็นผู้ใหญ่ เรามีเงินมีทองมาก เราเป็นคนบริหารจัดการมาก เรามีสมบัติมาก เราเป็นขี้ข้าสมบัติเราไหม เราเป็นคนบริหารจัดการใช่ไหม จิตมันเห็นอสุภะได้ จิตมันต้องสงบก่อน ถ้าจิตมันไม่สงบไม่เห็นอสุภะหรอก มันเป็นสัญญา เราคาดหมายหมดเลย นี่ดูเห็นภาพสิ ดูสิ ถ้าเห็นอสุภะแบบโลก นี่ดูหมอสิ หมอเขาผ่าตัด เห็นไหม ในห้องผ่าตัด เขาผ่าตัดมนุษย์เป็นร้อยๆ พันๆ เขาแก้กิเลสได้สักตัวหนึ่งไหม เขาไม่ได้แก้กิเลสได้สักตัวหนึ่งเลย เพราะอะไร เพราะเขาเห็นด้วยตาเนื้อ

แต่ถ้าจิตมันสงบเข้ามา ต้องจิตสงบก่อน จิตไม่สงบเห็นเป็นสัญญา เราไปดูสิ เราว่าเราตั้งสติไว้ แล้วเราดูเพศตรงข้ามสิ มันมีความรู้สึกไหม ทำไมมันมีล่ะ เพราะอะไร เพราะจิตมันไม่สงบ มันเป็นเรื่องโลกๆ โลกมันดูด้วยสัญญา ดูด้วยข้อมูลของตัว ดูด้วยตัณหาความทะยานอยาก มันดูขนาดไหนมันก็ดูยิ่งเกิดกิเลสตัณหา แต่ถ้าจิตสงบขึ้นมา จิตต้องสงบก่อน พอจิตสงบ ศีล สมาธิ ปัญญา ถ้าไม่มีสมาธิเป็นโลกียปัญญา

อย่างหมอ อย่างแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เห็นไหม เขามีวิชาการไหม? เขามีความสามารถไหม? มีหมดเลย นั่นล่ะเป็นวิชาชีพ นี่โลกียปัญญา ปัญญาของโลก ปัญญาของใจ ใจที่มีอวิชชานี่มันใช้ปัญญาอย่างนี้ประกอบอาชีพ แล้วเราเอาสิ่งนี้มาปฏิบัติธรรม แล้วมันจะมาฆ่ากิเลสได้ยังไง ไม่ได้!! ไม่ได้เลย!! สิ่งนี้เป็นวิชาชีพ สิ่งนี้เป็นวิชาโลกๆ มันไม่ใช่ภาวนามยปัญญา ไม่เกิดจากสมาธิก่อน ต้องทำสมาธิก่อน ใครเห็นสมาธิก่อนคนนั้นคือรู้จักตัวเอง รู้จักจิต จิตตัวเองเป็นสมาธิก่อน ถ้าใครเข้าถึงสมาธิ อ๋อ จิตเป็นอย่างนี้

นี่เราสงสัยกันนะ กายกับจิต กายกับจิต โอ๊ย จิตเป็นยังไง ถามทุกคน ใครมาถามทุกคนเลย แต่ใครเข้าสู่ความสงบปั๊บ จิตมันสงบเอง ตัวมันเองเป็นเอง ถ้าตัวมันเป็นจิตเสียเองมันจะถามใคร เรารู้จักตัวเราเองเราจะไปถามใครว่าเราชื่ออะไร ถ้าบอกเราชื่ออะไร คนนั้นบ้า ถ้าเราชื่อนาย ก. นาย ข. เรารู้จักตัวเราเอง นั่นคือรู้จักสมาธิ

สมาธิมีจิต จิตไปดูจิต จิตดูจิต จิตย้อนไปดูจิต จิตเห็นจิตนั้นเป็นวิปัสสนา ถ้าไม่มีจิตมองไปนี่มองด้วยสัญญาอารมณ์ มองโดยธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะเป็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มองด้วยมุมมองของที่เราศึกษาธรรมมา มองด้วยสัญญา มองด้วยการคาดหมาย ไม่เห็นจิต! ไม่เห็นเลย!

แต่ถ้าใครเห็นจิต ตัวจิตนั้นต้องตัวมันก่อน เห็นไหม จิตต้องสงบก่อน ต้องมีสมาธิก่อน พอมีสมาธินี่ สมาธิย้อนไปดู ตัวจิตย้อนไปดู ย้อนไปดูนี่ย้อนไปจัดการ นี่มันถึงจะเป็นวิปัสสนา เห็นไหม

ถึงบอกว่า เราเกิดมานะ เสียใจมาก เสียใจที่เรามีร่างกาย มีจิตใจเป็นของของเรากันเอง แล้วเราไม่ได้ใช้ประโยชน์อะไรของเราขึ้นมาเลย แล้วพอเราจะไปบริหารจัดการจะใช้ประโยชน์กับมัน ก็ให้คนอื่นเขาหลอกอีก! ให้คนเขาหลอกอีก หลอกกันไป หลอกกันไป เห็นไหม แต่ถ้าเราย้อนกลับมาดูของเรา เราจัดการของเรา ต้องมีใครบอก? ตัวเรานี่ต้องมีคนบอกว่าเราชื่อนาย ก. เหรอ ธรรมะของเรานี่ต้องให้คนบอกเหรอ? สิ่งที่เราเห็นนี่ต้องให้มีคนบอกเหรอ?

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า เราแค่รับรู้เท่านั้นเอง คนที่เป็นจริงก็เป็นจริง ไม่เป็นจริงก็คือไม่เป็นจริง ไม่ต้องให้ใครหลอกนะ นี่ของมีอยู่กับเรา ใจก็ของเรา กายก็ของเรา กิเลสก็หลอกเรา ธรรมะก็หลอกเรา หลอกทุกอย่างเลย เพราะมันมีความหลอกในใจ ถึงต้องทำความสงบของใจก่อน ถ้าไม่ทำความสงบของใจก่อนให้รู้จักตัวตนก่อน ให้มีจิตก่อน ให้มีสมาธิก่อน แล้วน้อมออกไปวิปัสสนา น้อมออกไปทำประโยชน์กับเราขึ้นมา

น่าเสียใจนะ ร่างกายก็ของเรา จิตใจก็ของเรา แล้วไม่ได้ประโยชน์จากมันนะ เกิดมานี่ตายเปล่า เกิดมาตายเปล่า พุทธศาสนา ศาสนาอยู่นี่ๆ แล้วตายเปล่า ตายเปล่าไป ตายก็ให้มีติดไม้ติดมือไปนะ

ในศาสนาพุทธของเรามีประโยชน์มาก ถ้าเราทำประโยชน์กับเรา เราทำประโยชน์กับเรานะ ดูสิ อย่างเช่นเสียสละนี่ ไม่กล้าทำนะ เราเป็นคนเสีย ผู้อื่นเป็นคนได้ แล้วใจมันได้ทำไมมันไม่ไปคิดล่ะ เราเสียวัตถุไป แต่เราได้สมบัติขึ้นมา ด้วยสมบัติจากภายในขึ้นมา แต่กิเลสมันก็ทำไม่ได้ เวลาจะปฏิบัติขึ้นมา เห็นไหม กลัวผีกลัวสาง กลัว...เริ่มต้นก็กลัวไปก่อนเลย

ไม่ต้องกลัว ปฏิบัติไป ถ้ามันมีปัญหาขึ้นมานี่ ครูบาอาจารย์มีค่อยแก้ไขกันไป ค่อยๆ แก้ไขกันไป เพราะอะไร เพราะไม่มีใครจะสะดวกหรอก งานของโลกนะ ยังอาบเหงื่อต่างน้ำขนาดนั้น แล้วงานปฏิบัติที่จะชำระกิเลสมันจะให้ปฏิบัติมาชุบมือเปิบจะเอาง่ายๆ นะ พระพุทธเจ้าเอาทองคำมาวางไว้ให้เราหยิบเองนี่ มันเป็นไปไม่ได้หรอก

พระพุทธเจ้าบอก ทองคำอยู่ในเหมือง มึงไปขุดเอา มึงต้องไปขุดทองคำ มึงต้องไปหลอมเอง ถึงเป็นทองคำของมึง ไอ้นี่ถึงจะไปหยิบเอาๆ เหมือนที่คิดเอา มันเป็นไปไม่ได้หรอก กิเลสอยู่ในใจนะ ธรรมะอยู่ในใจนะ ใจของเรา เราต้องรักษาใจของเรา แล้วจะเป็นประโยชน์กับใจของเรา อย่าให้ใครหลอก เอวัง